เมนู

9. โลมสกังคิยเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระโลมสกังคิยเถระ


[164] ได้ยินว่า พระโลมสกังคิยเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เราจักเอาอุระแหวกป่าหญ้าแพรก หญ้าคา
หญ้าดอกเลา แฝก หญ้าปล้อง หญ้ามุงกระต่าย
พอกพูนวิเวก.

อรรถกถาโลมสกังคิยเถรคาถา


คาถาของท่านพระโลมสกังคิยเถระ เริ่มต้นว่า ทพฺพํ กุสํ. เรื่องราว
ของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า ในกัปที่ 91 แต่ภัทรกัปนี้ ท่านเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพระนามว่า วิปัสสี มีใจเลื่อมใส บูชาด้วยดอกไม้ต่าง ๆ ด้วยบุญกรรมนั้น
บังเกิดในเทวโลก การทำบุญแล้วท่องเที่ยวไป ๆ มา ๆ อยู่ในเทวโลกนั่นเองอีก
บวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า กัสสปะ แล้วบำเพ็ญ
สมณธรรม. ก็โดยสมัยนั้น เมื่อพระบรมศาสดาตรัสภัทเทกรัตตปฏิปทาแล้ว
ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง สนทนากับท่านด้วยเรื่องภัทเทกรัตตสูตร. ท่านไม่เข้าใจ
(ไม่สันทัด) ภัทเทกรัตตสูตรนั้น เมื่อไม่เข้าใจ จึงตั้งปณิธานว่า ในอนาคต
เราพึงเป็นผู้สามารถ เพื่อจะกล่าวภัทเทกรัตตสูตรแก่ท่าน ภิกษุนอกนี้พึงถาม
ดังนี้. ในบรรดาภิกษุ 2 รูปนี้ รูปแรกท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

ตลอดพุทธันดรหนึ่ง แล้วเกิดในตระกูลแห่งศากยราช ในกรุงกบิลพัสดุ์ ใน
กาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย.
โดยความเป็นสุขุมาลชาติของท่าน จึงมีขนเกิดที่ฝ่าเท้า ดุจพระโสณะ
ด้วยเหตุนั้น เขาจึงขนานนามท่านว่า โลมสกังคิยะ.
อีกรูปหนึ่ง เกิดในเทวโลก ปรากฏนามว่า จันทนะ เมื่อศากยกุมาร
ทั้งหลาย มีเจ้าอนุรุทธะเป็นต้น บวชอยู่ ส่วนโลมสกังคิยะไม่ปรารถนาจะบวช.
ลำดับนั้น เทพบุตรชื่อว่า จันทนะ เข้าไปหาเขาแล้วถามถึง ภัทเทก-
รัตตปฏิปทา เพื่อจะให้เขาสลดใจ. เขาตอบว่า ไม่รู้. เทพบุตรจึงท้วงขึ้นอีกว่า
ถ้าอย่างนั้น เหตุไฉน ท่านจึงทำความผัดเพี้ยนไว้ว่า เราพึงกล่าวภัทเทกรัตต
ปฏิปทา (ในอนาคต ) แต่บัดนี้ แม้แต่ชื่อก็จำไม่ได้.
โลมสกังคิยมาณพ จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมกับจันทน-
เทพบุตรนั้น แล้วทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ได้ยินว่า ข้าพระองค์
กระทำความผัดเพี้ยนไว้ในภพก่อนว่า เราจักกล่าวภัทเทกรัตตปฏิปทา แก่
เทพบุตรนี้ หรือพระเจ้าข้า ? พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ใช่แล้วกุลบุตร
ท่านทำความผัดเพี้ยนไว้อย่างนี้ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระ-
นามว่า กัสสปะ.
ความเรื่องนี้นั้น บัณฑิตพึงทราบโดยพิสดาร โดยนัยอันมาแล้ว ใน
อุปริปัณณาสก์. ลำดับนั้น โลมสกังคิยมาณพ ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ถ้าเช่นนั้น ขอพระองค์จงทรงยังข้าพระองค์ให้บวชเถิด ดังนี้. แม้พระผู้มี
พระภาคเจ้า ก็ตรัสห้ามว่า พระตถาคตทั้งหลาย จะไม่ยังบุตรที่มารดาบิดา
ยังไม่อนุญาตให้บรรพชา. เขาไปยังสำนักของมารดาแล้ว กล่าวว่า ข้าแต่แม่
ขอแม่จงอนุญาตให้ฉันบวชเถิด เมื่อมารดาพูดว่า ลูกเอ๋ย เจ้าเป็นสุขุมาลชาติ

จักบวชอย่างไรได้ ดังนี้ เมื่อจะประกาศความที่คนอดกลั้นอันตรายได้ จึง
กล่าวคาถาว่า
เราจักเอาอุระแหวกป่าหญ้าแพรก หญ้าคา
หญ้าดอกเลา แฝก หญ้าปล้อง หญ้ามุงกระต่าย
พอกพูน วิเวก ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น ท่านเรียกหญ้าแพรกว่า ทัพพะ ซึ่งบางท่านก็
เรียกว่า สัททุละ.
บทว่า กุสํ ได้แก่ หญ้าคา ซึ่งบางท่านเรียกว่า กาส. บทว่า
โปฏกิลํได้แก่ กอหญ้า ทั้งที่มีหนาม และไม่มีหนาม แต่ในที่นี้ท่าน
ประสงค์เอาเฉพาะที่มีหนามเท่านั้น ติณชาติมีหญ้าคมบางเป็นต้น รู้ได้ง่าย.
หญ้าทั้งหลาย มีหญ้าแพรกเป็นต้น จัดเป็นหญ้าคมบาง แม้เมื่อเหยียบด้วย
เท้าทั้งสองก็จะยังทุกข์ให้เกิด ทั้งจะกระทำอันตรายในเวลาเดินไป ก็แต่ว่า
ตัวเราจะเอาอกต้านหญ้าเหล่านั้น คือแหวกหญ้าเหล่านั้นไปด้วยอุระ. ท่าน
แสดงถึงว่า เมื่อต้องเอาอกแหวกหญ้า ต้องกดกลั้นทุกข์ อันมีหญ้านั้นเป็นเหตุ
ได้อย่างนี้ ก็จักสามารถเข้าไปสู่พุ่มไม้ในราวป่า บำเพ็ญสมณธรรมได้.
บทว่า วิเวกมนุพฺรูหยํ ความว่า เพิ่มพูน กายวิเวก จิตตวิเวก
และอุปธิวิเวก. อธิบายว่า จิตตวิเวกย่อมมีแก่ผู้ที่ละการคลุกคลีด้วยหมู่ แล้ว
เพิ่มพูนกายวิเวกอยู่อย่างเดียว ยังจิตให้ตั้งมั่นในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ใน
บรรดาอารมณ์ 38 ประการ ไม่มีแก่ผู้ที่ยินดีการคลุกคลีด้วยหมู่. การบรรลุ
อุปธิวิเวก ด้วยการยังกิเลสให้สิ้นไป ย่อมมีแก่ผู้มีจิตเป็นสมาธินั่นแหละ ผู้
บำเพ็ญวิปัสสนา กระทำสมถะและวิปัสสนาให้เป็นคู่ ๆ ไม่มีแก่ผู้ที่ไม่มีจิตเป็น
สมาธิ. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า บทว่า วิเวกมนุพฺรูหยํ ได้แก่ เพิ่มพูน

กายวิเวก จิตตวิเวก และอุปธิวิเวก. ก็เมื่อโลมสกังคิยมาณพ ผู้เป็นบุตรกล่าว
อย่างนี้แล้ว มารดาจึงยอมอนุญาตว่า ถ้าเช่นนั้น เจ้าจงบวชเถิด พ่อคุณ ดังนี้.
เขาเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลขอบรรพชาแล้ว พระศาสดาให้
เขาบวชแล้ว. ภิกษุทั้งหลายกล่าวกะท่านพระโลมสกังคิยะผู้บวชแล้ว กระทำ
บุรพกิจเสร็จแล้ว เรียนกรรมฐานแล้ว จะเข้าไปสู่ป่าว่า ดูก่อนอาวุโส ท่าน
เป็นกษัตริย์สุขุมาลชาติ จะสามารถเข้าไปอยู่ในป่าได้อย่างไร ?
ท่านกล่าวคาถานั้นแหละ แม้แก่ภิกษุเหล่านั้น เข้าไปสู่ป่า หมั่น
ประกอบภาวนา ได้เป็นผู้มีอภิญญา 6 ต่อกาลไม่นานนัก. สมด้วยคาถาประพันธ์
ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เราได้เอาดอก ( กากะทิง ) บูชาพระสัมพุทธเจ้า
ผู้มีพระฉวีวรรณเปล่งปลั่งดังทองคำ ผู้สมควรรับ
เครื่องบูชา กำลังเสด็จดำเนินไปในถนน ในกัปที่ 91
แต่ภัทรกัปนี้ ด้วยการที่เราได้เอาดอกไม้บูชา พระ-
สัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผล
แห่งพุทธบูชา. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอน
ของพระพุทธเจ้า เราทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.

ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผล
ก็ได้กล่าวคาถานั้นแหละ ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาโลมสกังคิยเถรคาถา

8. ชัมพุคามิกปุตตเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระชัมพุคามิกบุตรเถระ


[165] ได้ยินว่า พระชัมพุคามิกบุตรเถระ ได้ภาษิตคาถานี้ไว้
อย่างนี้ว่า
ท่านเป็นผู้ขวนขวาย ในเรื่องผ้าหรือไม่ ยินดีใน
เครื่องประดับหรือไม่ ท่านทำกลิ่นอันสำเร็จด้วยศีล
ให้ฟุ้งไปใช่ไหม หมู่ชนนอกนี้ ไม่อาจทำกลิ่นที่สำเร็จ
ด้วยศีลให้ฟุ้งไปได้.

อรรถกถาชัมพุคามิกปุตตเถรคาถา


คาถาของพระชัมพุคามิกบุตรเถระ เริ่มต้นว่า กตฺถจิ โน วตฺถปสุ-
โต.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า ท่านเป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้ว ในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัย แห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้น ๆ ใน
กาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า เวสสภู ในกัปที่ 31 นับแต่
ภัทรกัปนี้ ในวันหนึ่งท่านเห็นดอกทองกวาว จึงเก็บดอกทองกวาวเหล่านั้นไป
ระลึกถึงพระพุทธคุณ เหวี่ยงดอกไม้ไปในอากาศ อุทิศพระผู้มีพระภาคเจ้า
บูชาแล้ว. ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านได้ไปบังเกิดในภพดาวดึงส์.
ต่อแต่นั้น กระทำบุญเป็นอันมาก ท่องเที่ยวอยู่ในเทวดาและมนุษย์
ทั้งหลายไป ๆ มา ๆ เกิดเป็นบุตรของอุบาสก ชื่อว่า ชัมพุคามิกะ ใน